ต้องอึทุกวันถึงจะสุขภาพดีจริงไหม?
หลายคนคงเคยสงสัยว่า “การอึทุกวัน” เป็นสัญญาณของสุขภาพที่ดีจริงหรือเปล่า? หรือถ้าวันไหนไม่ได้อึ แปลว่าระบบย่อยอาหารมีปัญหา? จริงๆ แล้วเรื่องการขับถ่ายซับซ้อนกว่าที่คิด วันนี้ Vikka Skincare จะพามาเจาะลึกกันค่ะ ว่าต้องอึวันละกี่ครั้งถึงปกติ อึแบบไหนเรียกว่าดี และถ้าอึผิดปกติควรดูแลอย่างไร

1. เราต้องอึทุกวันไหม?
หลายคนมักกังวลว่า “วันนี้ยังไม่ได้อึเลย แปลว่ามีปัญหาไหม?” จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องอึทุกวัน ก็ถือว่าปกติได้ค่ะ
งานวิจัยระบุว่า ความถี่ที่ถือว่าปกติคือ 3 ครั้งต่อวัน – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจำง่ายๆ ว่า “สามสาม”
ถ้าอึทุกวัน = ระบบเผาผลาญและการย่อยอาหารทำงานดี
ถ้าอึวันเว้นวัน หรือ 2-3 วันครั้ง = ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากไม่มีอาการแน่นท้องหรือท้องอืด
⚠️ ควรเริ่มกังวลเมื่อ:
- อึน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ → อาจเป็น ท้องผูก
- อึมากเกินวันละ 3 ครั้ง และเหลว → อาจเป็น ท้องเสีย

2. อึแบบไหนเรียกว่าปกติ?
นอกจาก “ความถี่” การดู ลักษณะของอึ ก็สำคัญ โดยมีการใช้ Bristol Stool Chart ที่แบ่งอึออกเป็น 7 ประเภท เช่น
- 💩 Type 1: อึแข็งเป็นเม็ดเล็กๆ → ท้องผูกหนัก
- 💩 Type 2: อึแข็งเป็นก้อน → ท้องผูกเล็กน้อย
- 💩 Type 3: อึแท่งยาว มีรอยแตก → ปกติแต่ยังขาดน้ำ
- 💩 Type 4: อึแท่งยาว เรียบลื่น → ปกติที่สุด!
- 💩 Type 5: อึนิ่มเป็นชิ้น → เริ่มไปทางเหลว
- 💩 Type 6: อึเหลวเป็นก้อนเล็ก → ท้องเสียเล็กน้อย
- 💩 Type 7: อึเป็นน้ำ → ท้องเสียหนัก
อึที่ดีที่สุดคือ Type 3–4 เพราะขับถ่ายง่าย ไม่ต้องเบ่ง และบ่งบอกว่าลำไส้ทำงานสมดุล

3. อาหารมีผลต่ออึแค่ไหน?
อาหารคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระบบขับถ่าย
- กินผักและไฟเบอร์สูง → อึนิ่ม ขับถ่ายง่าย
- กินเนื้อและไขมันเยอะ → อึอาจแข็งหรือถ่ายน้อยลง
- กินน้ำตาลหรือของหวานจัด → อาจถ่ายเหลวหรือบ่อยขึ้น
- แอลกอฮอล์มากเกินไป → ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวผิดปกติ
ตัวอย่างเช่น Carnivore Diet ที่กินแต่เนื้อสัตว์และไขมัน ทำให้บางคนอึน้อยลงเหลือ 2–3 วันครั้ง อึแข็งขึ้นและมีกลิ่นแรง แต่ถ้าไม่รู้สึกอึดอัดหรือแน่นท้องก็ถือว่าปกติค่ะ
4. ถ้าขับถ่ายผิดปกติ ควรทำยังไง?
ถ้าท้องผูก
- ดื่มน้ำมากขึ้น (2–3 ลิตร/วัน)
- เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชในมื้ออาหาร
- ออกกำลังกาย เช่น เดินหลังอาหาร
- เสริมโพรไบโอติกส์จากโยเกิร์ตหรืออาหารเสริม
ถ้าท้องเสีย
- เลี่ยงอาหารมันจัด เผ็ดจัด หรือนม
- ดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป
- กินอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม ซุปใส
- หากอาการเกิน 48 ชั่วโมง ควรพบแพทย์
5. สรุป
เรา ไม่จำเป็นต้องอึทุกวัน ถึงจะเรียกว่าปกติ สิ่งสำคัญคือการสังเกตความถี่และลักษณะอึของตัวเอง หากขับถ่ายแล้วรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด ก็ถือว่าระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีแล้วค่ะ
👉 อย่าลืมว่า “อึ” เป็นหนึ่งในสัญญาณสุขภาพที่สำคัญ ควรหมั่นสังเกตเป็นประจำ เพื่อดูแลทั้งระบบย่อยอาหารและสุขภาพผิวพรรณให้แข็งแรงไปพร้อมกัน
ทำไมโพรไบโอติกส์ถึงสำคัญ?
โพรไบโอติกส์ หรือจุลินทรีย์ดีในลำไส้ มีบทบาทช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก–ท้องเสีย และยังส่งผลต่อ สุขภาพผิวพรรณ โดยตรง งานวิจัยพบว่า หากลำไส้แข็งแรง ผิวก็จะมีแนวโน้มแข็งแรงขึ้น ลดสิว ลดการอักเสบ และดูสุขภาพดีมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ และผิวพรรณดูสดใส การเสริมโพรไบโอติกส์ทั้งจากอาหาร เช่น โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ หรือจากอาหารเสริม จึงเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ไม่ควรมองข้าม

เสริมลำไส้แข็งแรงด้วย “โพรไบโอติกส์หมอเจด”
หากใครที่มีปัญหาท้องผูก ขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ หรืออยากดูแลสุขภาพผิวควบคู่ไปกับสุขภาพลำไส้ แนะนำให้ลอง โพรไบโอติกส์หมอเจด
- ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
- กระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการแน่นท้อง
- เสริมภูมิคุ้มกันจากภายใน
- ส่งผลดีต่อผิวพรรณ ช่วยลดสิวและผิวอักเสบ
👉 การดูแลตัวเองให้ครบทั้ง โพรไบโอติกส์ + สกินแคร์ที่เหมาะสม จะช่วยเสริมพลังกันและกัน ทำให้ทั้งระบบย่อยอาหารและผิวพรรณแข็งแรงไปพร้อมกันค่ะ
👉 คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โพรไบโอติกส์หมอเจด