สิวเรื้อรังกับการดื้อยาสิว


ปัจจุบัน การรักษาสิวมีความท้าทายมากขึ้นเนื่องจากปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับสิว โดยเฉพาะเชื้อ Cutibacterium acnes (C. acnes) งานวิจัยล่าสุดได้สำรวจความชุกของการดื้อยาปฏิชีวนะหลายขนาน (multidrug resistance, MDR) ของเชื้อ C. acnes ที่แยกได้จากตัวอย่างไมโครคอมิโดนของผู้ป่วยสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง จำนวน 46 ราย ผลการศึกษาพบว่า 9 ราย (ประมาณ 20%) มีเชื้อ C. acnes ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลายขนาน โดยแบ่งเป็น 4 ราย (9%) ดื้อต่อ clindamycin, erythromycin และ gentamicin และ 5 ราย (11%) ดื้อต่อ clindamycin, erythromycin และ tetracycline นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อ MDR C. acnes พบมากขึ้นในผู้ที่มีผิวหน้ามัน และผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะแบบทาและไม่ต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ 

การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาสิว หากใช้อย่างไม่เหมาะสมหรือไม่ต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้น การรักษาสิวควรพิจารณาใช้ยาตามระดับความรุนแรงของสิว และอาจมีการใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ตัวอย่างเช่น การใช้ topical retinoid ร่วมกับ benzoyl peroxide (BPO) หรือการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานร่วมกับยาทาเฉพาะที่ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานเกินไปเพื่อป้องกันการเกิดภาวะดื้อยา

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียก่อสิวของสารสกัดจากตำรับยาแผนไทย THF-AC003 ซึ่งพบว่ามีศักยภาพในการยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis และ Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการใช้สมุนไพรไทยเป็นทางเลือกในการรักษาสิวและลดปัญหาการดื้อยา

การรักษาสิวในปัจจุบันควรคำนึงถึงการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดื้อยา และอาจพิจารณาใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดความเสี่ยงของการดื้อยาในอนาคต

สาเหตุของการดื้อยาสิว

  1. ใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนานเกินไป เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือ เตตราไซคลิน (Tetracycline)
  2. ใช้ยาไม่ถูกต้อง เช่น ใช้ยาปฏิชีวนะแบบแต้มเดี่ยว ๆ โดยไม่มีการใช้ร่วมกับตัวยาอื่น
  3. หยุดยาเองก่อนกำหนด ทำให้เชื้อปรับตัวและดื้อยา
  4. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป
  5. ได้รับยาปฏิชีวนะจากอาหารหรือสิ่งแวดล้อม เช่น เนื้อสัตว์ที่มียาปฏิชีวนะตกค้าง

วิธีแก้ไขปัญหาดื้อยาสิว

แนวทางรับมือกับปัญหาการดื้อยาของ C. acnes

  1. ลดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่จำเป็น
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ เป็นเวลานาน
    • ใช้ร่วมกับยาตัวอื่น เช่น benzoyl peroxide (BPO) หรือ retinoids เพื่อลดโอกาสเกิดการดื้อยา
    • ใช้ยาตามแพทย์สั่งและไม่หยุดยาเอง
  2. ทางเลือกการรักษาอื่น ๆ
    • Benzoyl peroxide (BPO): มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและลดการอักเสบโดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา
    • Retinoids: เช่น adapalene หรือ tretinoin ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
    • กรด Azelaic: มีฤทธิ์ยับยั้ง C. acnes และลดรอยแดงของสิว
    • สารสกัดจากธรรมชาติ: เช่น สารสกัดชาเขียว, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน
  3. ปรับพฤติกรรมการดูแลผิว
    • เลือก สกินแคร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
    • หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
    • ใช้ ครีมกันแดดสูตรที่เหมาะกับผิวเป็นสิว เพื่อลดการระคายเคือง

ปัญหาการดื้อยาของ C. acnes ทำให้แนวทางการรักษาสิวต้องเปลี่ยนไปจากเดิม การรักษาด้วยแนวทางแบบผสมผสาน และการใช้สกินแคร์ที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในปัจจุบัน

VIKKASKINCARE มีเซตการดูแลผิวสำหรับปัญหาสิวที่คิดมาแล้วโดยคุณหมอ  การดูแลผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสิวที่ต้องการวิธีการดูแลอย่างถูกต้องและปลอดภัย ห่างไกลการดื้อยา หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาสิวและต้องการหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม วิกก้าสกินแคร์แนะนำเซตรักษาสิวที่ครบครันสำหรับทุกขั้นตอนของการดูแลผิว กับ ACNE  EXPERT CLINIC BY Dr.koong

VIKKA ANCE CHART
  1. การล้างหน้า
    ขั้นตอนแรกในการรักษาสิวคือการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกต้อง เลือกใช้ โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนและปราศจากสารเคมีที่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ILIFE SOFT GEL ที่ช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน
  2. โทนเนอร์หรือน้ำตบ
    หลังจากล้างหน้า การใช้ โทนเนอร์ จะช่วยปรับสมดุล pH ของผิว โทนเนอร์ที่ดีสำหรับผิวเป็นสิวควรมี ส่วนช่วยในการปลอบประโลมผิว ลดกระบวนการอักเสบของผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ชาวยลดโอกาสในการเกิดสิว และช่วยคุมมัน ลดการผลิตน้ำมันของผิว
  3. เซรั่มรักษาสิว
    เซรั่มเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ช่วยดูแลผิวที่มีปัญหาสิว ควรเลือกเซรั่มที่มี Niacinamide และ สารที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น Ceramide 1,3,6  ที่ช่วยในการฟื้นฟูเซลล์ผิวและลดการเกิดสิวใหม่ รวมทั้งช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวด้วย
  4. มอยส์เจอไรเซอร์
    แม้ว่าผิวเป็นสิวจะมีน้ำมันส่วนเกิน แต่การใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์สูตรบางเบา ที่ไม่อุดตันรูขุมขนและปราศจากน้ำมัน (Oil-free) ควรมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid เพื่อให้ความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวมันเกินไป
  5. ครีมกันแดด
    การใช้ ครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิว ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีสูตร Non-comedogenic เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  6. การรักษาเฉพาะจุด
    สำหรับสิวที่อักเสบมากๆ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์รักษาเฉพาะจุดที่มี Benzoyl Peroxide เพื่อช่วยลดอาการบวมแดงและทำให้สิวยุบลงได้เร็วขึ้น

การรักษาสิวระดับน้อยถึงปานกลางด้วยเวชสำอาง เป็นทางเลือกที่ช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ลดความเสี่ยงจากการดื้อยา และเหมาะกับการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง โดยเวชสำอางที่ช่วยจัดการปัญหาสิว